2554-05-30

แนะนำรุ่นน้อง

               การเข้าร่วมโครงการนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะค่ะน้องๆ ถ้าเราไปแบบไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นมันก็จะทำให้เราลำบาก และรู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถพูดคุยกับเพื่อนๆได้เลย ก็อยากให้น้องๆตั้งใจเรียน และขยันท่องคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นให้มากๆ ถึงแม้เราจะไม่ได้ไวยากรณ์ กับคำช่วยก็ตาม แต่เราได้คำศัพท์เรายังสามารถนำคำศัพท์มาต่อเป็นคำๆมาพูดให้เพื่อนเข้าใจได้ ยิ่งรู้คำศัพท์มากก็ยิ่งดีต่อตัวเรามากค่ะ จากนั้นเราก็ฝึกพูดเป็นประโยคสั้นๆ แล้วค่อยๆเป็นประโยคยาวขึ้นค่ะ ส่วนการฟังนั้น พี่ก็ได้คำแนะนำมาจากเพื่อนเหมือนกันค่ะ ด้วยการดูหนัง และฟังเพลง หรือหนังซี่รีย์ ที่น้องๆชอบ แต่ต้องเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นนะ และฝึกพูดประโยคตามหนังไปด้วยจะดีมากค่ะ วิธีนี้เป็นวิธีง่ายๆค่ะ สุดท้ายสิ่งที่น้องๆจะขาดไม่ได้เลย คือ ความกล้าแสดงออกค่ะ มันจะช่วยน้องๆพูดภาษาญี่ปุ่นให้เป็นเร็วขึ้นค่ะ ถ้ามั่วแต่อาย น้องๆก็จะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย เราควรที่จะพยายามพูดออกไป และถ้าพูดผิดก็ไม่ต้องกลัว เพื่อนๆจะคอยแก้ไขภาษาญี่ปุ่นให้น้องๆค่ะ และถ้าน้องได้เข้าร่วมโครงการนี้แล้วพยายามอย่าสนิทกับเพื่อนคนไทยเลย เพราะจะทำให้ไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นเลย น้องก็เสียโอกาศดีๆไป ที่จะพัฒนาภาษาญี่ปุ่นให้เก่งกว่านี้

เคยชินกับภาษาญี่ปุ่นได้ยังไง

           
            เคยชินกับภาษาญี่ปุ่นได้ ก็เพราะเพื่อน อาจารย์ การเรียน และสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเราทั้งหมด ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดเลย ทำให้เราต้องปรับตัวเองตลอดเวลาเพื่อที่จะให้เคยชินกับประเทศญี่ปุ่น และภาษาญี่ปุ่น เพื่อนนั้น เราก็ต้องพูดคุยกันโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นสื่อกลางในการสนทนาทุกวัน และสำเนียงการพูดภาษาญี่ปุ่นของเพื่อนแต่ละคนแตกต่างกันสิ้นเชิง ทำให้เราต้องปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมเพื่อจะคุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่นโดยเร็ว และทำให้เรากล้าที่จะคุยมากขึ้น ถ้าเรามัวแต่กลัวเราก็จะไม่ได้ความรู้ และประสบการณ์อะไรเลย การเรียนภายในห้องเรียน ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกันที่ทำให้เรานั้นคุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่นได้ดีด้วย อาจารย์ และเพื่อนๆก็จะคอยแนะนำการใช้ภาษาญี่ปุ่นเวลาที่ไม่เข้าใจ และอธิบายเป็นคำศัพท์ง่ายให้เราเพื่อให้เราเข้าใจมากขึ้น

    


พยายามทำอะไร เพื่อที่จะได้ชินภาษาญี่ปุ่น
                ตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ภาษาญี่ปุ่นพัฒนาให้ได้มากที่สุด เวลาว่างก็จะดูทีวีและฟังเพลงพึ่งให้, คุยกับเพื่อนญี่ปุ่น บางครั้งถ้าเพื่อนไปร้องคาราโอเกะกัน ก็จะไปกับเพื่อนๆด้วย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ชอบร้องเพลงสักนิดเลย แต่ก็จะไปนั่งคุยและกินขนมกับเพื่อนๆแทน แต่บางครั้งก็โดนจับให้ร้องเพลง
เรื่องที่ลำบาก เรื่องที่บอกใครไม่ได้
เรื่องที่ลำบากจนไม่สามารถบอกใครได้สำหรับพี่นั้น ไม่มี จะมีก็แค่ปัญหาเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น เวลาทำงานร่วมกับเพื่อนๆต่างชาติ เราไม่รู้ว่าเวลาทำงานทำกันแบบไหน ที่เจอกับตัวเองก็ คือ เรื่อง PPT (Power Point) ชาวต่างชาติ จะเขียนแค่หัวข้อเท่านั้น และเนื้อหาจะไม่ทำใส่ใน ppt จะใช้การพูดอธิบายมากกว่า แต่คนไทยมักจะเขียนหัวข้อด้วยและนำเอาเนื้อหาใส่ลงไปด้วย ถ้าลืมก็จะสามารถดูได้ ส่วนคนญี่ปุ่นนั้น ถ้าต้องนำเสอนงานการสัมภาษณ์ จะไม่ใส่รูปกับชื่อของคนที่ให้สัมภาษณ์เด็ดขาด การทำงานครั้งนั้น ทำให้เถียงกับเพื่อนต่างชาติ เพราะความไม่รู้ สไตส์การทำงานของแต่ละคน แต่ละชาติ
พูดภาษาญี่ปุ่นง่ายๆยังไง
                การพูดภาษาญี่ปุ่นง่ายๆสำหรับพี่นั้น พี่จะเอาคำศัพท์กับคำศัพท์มาต่อกันให้เป็นประโยค อย่างน้อยเพื่อนๆก็จะเข้าใจเราว่าต้องการจะพูดอะไร จะสื่อความหมายอะไร จากคำศัพท์ที่นำมาต่อกัน แต่ถ้าเพื่อนยังไม่เข้าใจอีก พี่ก็จะอธิบายไปเรื่อยๆจนกว่าเพื่อนจะเข้าใจ ด้วยคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นแบบง่ายๆ และบางครั้งก็พูดประโยคยกตัวอย่างเสริมเข้าไปอีก เพื่อนๆจะได้เข้าใจมากขึ้น และคำศัพท์ที่พี่นิยมใช้มาก คือ たとえば และ について เป็นต้น

ในโลกภาษาญี่ปุ่น

ความประทับใจ
                                                                                                             
         
วันแรกที่มาถึงประเทศญี่ปุ่นนั้น ได้รับการต้อนรับการอย่างอบอุ่นมากจากทาง JF เจ้าหน้าที่ที่มารับพูดคุยเป็นกันเองมากค่ะ รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้คุยกับคนญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และรู้สึกกลัวด้วย กลัวที่จะสื่อสารกับคนญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องด้วย และเมื่อได้ออกมาสูดอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นแท้ๆ รู้สึกชื่นใจมาก อากาศเย็นสบายๆ และวันไหนที่มีหิมะตกนะ เป็นวันที่ประทับใจสุดๆเลย เพราะพึ่งเคยเห็นหิมะตกเป็นครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้น และดีใจมาก ได้ปาหิมะเล่นกับเพื่อนๆและถ้าเราจะไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่เราไปไม่เป็นไม่รู้จะไปยังไงดี คนญี่ปุ่นจะช่วยอธิบายเส้นทางอย่างละเอียดมากๆ และถ้าเรายังไม่เข้าใจอีก คนญี่ปุ่นจะพาเราไปส่งถึงจุดหมายเลยล่ะ คนญี่ปุ่นเป็นคนมีน้ำใจมากๆ แต่เราก็รู้สึกเกรงใจที่ต้องให้ไปส่ง เพราะอาจจะเสียเวลาที่ต้องให้ไปส่ง และอาจจะไปกันคนละทาง แต่ก็ขอบคุณมากๆค่ะ และความประทับใจที่ไม่มีวันเลย เพื่อนๆโครงการนี้นิสัยดีกันทุกคนเลย มีน้ำใจมาก ค่อยช่วยเหลือเราตลอด และตอนที่เดินทางไปเยี่ยมมหาวิทยาลัย เราต้องเดินทางไปคนเดียว เมื่อถึงสถานีฮิโรชิมา ก็ต้องแยกย้ายกับเพื่อนๆ เพื่อนๆจะคอยเป็นห่วง เพราะภาษาญี่ปุ่นเรานั้นไม่ค่อยเก่ง เพื่อนๆจะถามว่าคนที่จะมารับล่ะ อยู่ไหน มายัง และโทรตามให้ เพราะเพื่อนมีมือถือ และนั่งรอเป็นเพื่อน ประทับใจมากที่เพื่อนๆเป็นห่วงเรา เมื่อเดินทางถึงมหาวิทยาลัยก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเช่นกัน อาจารย์ที่นี้ใจดีมาก และเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยก็น่ารักทุกคนเลย มีจัดกิจกรรมต่างๆ ให้เราทำเยอะมากเลย ถึงจะเหนื่อย แต่ก็คุ้มกับสิ่งต่างๆที่รับได้มากมาย เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีมากเลย และตอนที่อาศัยอยู่กับโฮมต์แฟมีลี่นั้น ครอบครัวโอมต์แฟมีลี่ดูแลเราเป็นอย่างดีมาก ตอนกินข้าวเย็นจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนามมีความสุขมาก เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับที่พัก เราถึงกับร้องไห้เลย ซาบซึ้งใจมาก ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี สุดท้าย ขอขอบคุณโครงการนี้มากๆ ที่จัดเตรียมกิจกรรมต่างๆมาให้เราเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความมาเป็นของคนญี่ปุ่น วัฒนธรรมและสังคมของประเทศญี่ปุ่น (ซูโม่, การชงชา, ชุดกิโมโน, และโฮมต์วิสิท) เป็นต้น ขอบคุณค่ะ
วันแรกที่มาถึงประเทศญี่ปุ่น
         

                วันแรกที่เดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่น บอกได้เลยว่ามีหลากหลายความรู้สึกมาก ไม่ว่าจะเป็นกลัว กังวน ตื่นเต้น ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอยู่ในความฝันเลย ไม่คิดว่าจะได้มาเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น ทุกอย่างในประเทศญี่ปุ่นที่เราเห็นในตอนแรกนั้น มันชวนให้อยากลองเรียนรู้ศึกษา สัมผัสประสบการณ์ใหม่ แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก แต่ก็กลัวว่าจะสื่อสารกับคนญี่ปุ่น และเพื่อนๆไม่รู้เรื่อง กังวนว่าเราจะทำยังไงดีถึงจะคุยกับเพื่อนๆได้ ครั้งแรกที่ได้คุยกับคนญี่ปุ่น ฟังไม่ทันเลย ไม่รู้ว่าพูดอะไร ต้องขอให้เค้าพูดอีกหลายรอบค่ะ พอถึงที่พักนั้น บรรยากาศดีมากๆเลย ภายในห้องพักของเรานั้น จะมองเห็นทะเล(แต่เล่นน้ำไม่ได้นะ)และมองเห็นชิงช้าสวรรคตด้วย เป็นวิวที่ดีมากเลย 

เริ่มเข้าใจภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไร เพราะอะไร
                เริ่มเข้าใจและคุ้นเคยภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น ก็ประมาณอาทิตย์ที่ 2 – 3 พอที่จะฟังเพื่อนๆพูดเข้าใจและฟังทัน จับใจความได้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องขอให้พูดอีกรอบ และสามารถโต้ตอบการสนทนาได้คล่องขึ้น โดยไม่ต้องหยุดคิดนานๆ และรู้สึกว่าตัวเองพัฒนาได้ดีขึ้น ก็ตอนที่เดินทางไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นคนเดียว และได้ไปอาศัยอยู่กับโฮสต์แฟมีลี่ ได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นแท้ รอบข้างมีแต่คนญี่ปุ่นเท่านั้น โดยที่เราไม่ได้พูดภาษาไทยเลยสักคำเดียว ใช้แต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ทำให้การฟัง การพูด และจำคำศัพท์ใหม่ได้เยอะขึ้นตามลำดับ

เพื่อน

         เพื่อนๆที่มาเข้าร่วมโครงการนี้ (10UP YUKI) มีทั้งหมด 28 คน จาก 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อินโดนีเซีย, จีน, เกาหลี, ออสเตรเลีย, สเปน, แคนาดา, สโลเวเนีย, นิวซีแลนด์ และนอร์เวย์ เป็นต้น ส่วนใหญ่เพื่อนๆที่มาเข้าร่วมโครงการนี้จะเรียนวิชาเอกภาษาญี่ปุ่นกัน และเพื่อนบางคนที่เข้าร่วมโครงการนี้ ก็สมัครด้วยตัวเอง ดูจากใบประกาศที่ติดตามบอร์ดต่างๆ แต่บางคนอาจารย์ก็เป็นคนคัดเลือกด้วยตัวเอง เพื่อนๆในโครงการนี้นิสัยดี น่ารักทุกคนเลย จะค่อยช่วยเราเสมอ แต่จะมีที่สนิทมากๆมีอยู่ 4 คน คือ Christine, Eduardo และZai   

Christine เป็นคนอินโดนีเซีย
                ตอนแรกที่เจอ Christineนั้น คิดว่าเป็นคนไทยที่มาจากทางภาคเหนือ แต่พอเข้าไปคุยนั้นก็หน้าแตกเพราะคิดว่าเธอเป็นคนไทย แต่จริงๆแล้วเธอเป็นคนอินโดนีเซีย Christine เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเลยล่ะ คอยช่วยเหลือเราเสมอเลย เวลาไม่เข้าใจการบ้านตรงไหนก็จะเข้าไปถามเธอ เธอจะอธิบายแบบง่ายให้เราเข้าใจ และจะคอยแก้ไวยากรณ์ให้ด้วย เวลามีเรื่องไม่สบายใจก็จะไปปรึกษาเธอ แต่จะค่อยข้างลำบากหน่อย และห้องของเธอนั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องของเราเองล่ะ ทำให้สะดวกในการเดินไปหา เมื่อถึงเวลากินข้าวก็จะไปกินด้วยกัน เธอจะค๊อกประตูห้องเพื่อนทุกคนและชวนกันไปกินข้าว
Eduardo เป็นคนสเปน
                Eduardo เป็นคนที่หัวเราะตลอดเวลาจริงๆ อยู่ด้วยแล้วขำตลอด และเพื่อนๆส่วนใหญ่มักจะเรียก Eduardo ว่า “おじさん” กัน เพราะว่าอายุ 40 ปีล่ะ Eduardo มักจะคอยอธิบายคำศัพท์ที่เราไม่เข้าใจ แบบละเอียดมาก จะอธิบายจนกว่าเราจะเข้าใจ เรากับ Eduardoพึ่งจะมาสนิทกันตอนหลังๆ ก็เพราะงาน ส่วนใหญ่มักจะเจอกับ Eduardo ในกลุ่มบ่อย ทำงานกลุ่มเดียวกัน และบางครั้งก็มีเรื่องไม่เข้าใจกันบ้าง โดนเฉพาะเรื่องงาน มักจะทะเลาะกันอยู่บ่อย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดไปแล้ว และมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ตอนที่จะเดินทางไปมหาวิทยาลัย เราหิ้วของเยอะมาก มีทั้งกระเป๋าเสื้อผ้า, กระเป๋าของที่ระลึก  และกระเป๋าโน๊ตบุท Eduardo เป็นคนมีน้ำใจมากจริงๆ  เขาจะช่วยเราถือของ แต่เราเกรงใจ เลยปฎิเสธไป แต่เพื่อนอีกคนบอกว่า ไม่เป็นไร ให้เขาถือของไป เขาเป็นผู้ชาย แล้วเพื่อนคนนั้น เอาของที่อยู่ในมือไปให้Eduardoถือ จากนั้นตอนไปถึงรถไฟ Eduardoเข้าไปข้างในแล้ว แต่เรายังอยู่ข้างนอกอยู่เลย กำลังศึกษาเส้นทางที่จะไปฮิโรชิมากับเพื่อนๆอีกกลุ่มอยู่ แล้วEduardoเข้าใจผิดคิดว่าเราไปรถไฟขนวบเดียวกัน Eduardoตะโกนมาว่ารถไฟมาแล้ว รีบๆขึ้นมา พอขึ้นไปแล้วก็ไม่เห็นEduardo และ ของของเรา ของที่ระลึกกับโน๊ตบุท ใช้พรีเซนต์อยู่กับEduardo เราเครียดเลย ทำไงดีล่ะที่นี้ ดีนะที่เพื่อนอีกคนมีมือถือ ก็ติดต่อไปทางเพื่อนกลุ่มเดียวกับEduardo ก็รู้ว่าเดี่ยวต้องไปเปลื่ยนรถไฟที่สถานีเดียวกัน ซึ่งเวลาห่างกัน 5 นาที เมื่อเจอEduardo เขาขอโทษเราใหญ่เลย และร้องไห้ด้วย เราตกใจมากเลย บอกไปว่าไม่เป็นไร ขอบคุณ และขอโทษด้วยเหมือนกัน สาเหตุที่Eduardoร้องไห้ เพราะโดนเพื่อนว่า และต้องไปสายกว่าเวลาที่กำหนดประมาณ 10 นาที เราเลยรู้สึกผิดไปด้วย ทำให้รู้ว่าEduardoเป็นคนมีน้ำใจจริงๆ และถ้าEduardoไม่เอากระเป๋ามาคืนเรา เขาก็ทำได้แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ และยอมโดนด่า ขอบคุณจริงๆEduardo และนี้คือความประทับใจอีกเรื่องหนึ่ง ที่คอยช่วยเหลือเรา
Zai เป็นคนไทย
                Zai เป็นคนที่คุยเก่งสุดๆ จะมีเรื่องมาพูดด้วยตลอดเวลา และช้อปปิ้งเก่งมาก และเธอเป็นคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นเก่งด้วย Zai มักจะชวนออกไปเที่ยวด้วยกันเสมอ และชวนกินของอร่อยๆ มีครั้งหนึ่งชวนกันไปซื้อชูครีม เนื่องจากทรายเล่าให้ฟังว่ามันอร่อยมากๆ ก็อยากลองกินบ้าง แต่วันที่ไปนั้น ทรายจำไม่ได้ว่าร้านอยู่ไหน เดินหากันหลายรอบมากๆ เพราะร้านที่นั้น ออกคล้ายๆกันไปหมดเลย ก็เลยกิน แต่หลังจากวันนั้น 2 วัน ก็ไปเที่ยวอีกแล้ว และกลับพร้อมกับชูครีม ทรายบอกว่า ”เห็นว่าอยากกิน เราซื้อมาฝาก” ชูครีมนั้น อร่อยจริงๆด้วย และเป็นเพื่อนที่มีน้ำใจจริงๆ รักทรายที่สุด

ตารางเวลา

หนึ่งวัน ตั้งแต่เช้า เย็น ทำอะไรบ้าง
การกำหนดตารางเรียน หรือตารางเวลานั้น ทั้งหมดนี้ทาง JF ได้จัดเตรียมให้ตลอดทั้ง 6 สัปดาห์ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นแล้ว แต่ในตารางเรียนนั้นจะบอกแค่หัวข้อว่า เราต้องเรียนอะไรบ้าง และวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ส่วนตารางที่บอกรายละเอียดปลีกย่อยนั้น ทาง JF จะใส่ในกล่องจดหมายของเรา ให้เราไปเอาตารางเรียนทุกๆอาทิตย์ การใช้ชีวิตประจำวันและการเรียนในแต่ละวันนั้นก็จะแตกต่างกันไป อาทิตย์แรกที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ค่อยข้างจะวุ่นวายมาก เพราะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ก็จะตื่นประมาณ 7.30 - 8.00 เพราะตอนกลางคืนนั้น นอนไม่ค่อยหลับ และชอบตื่นกลางดึกด้วย หลังจากอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็จะลงไปทานข้าวพร้อมเพื่อนๆที่โรงอาหาร ส่วนใหญ่ตอนเช้าเพื่อนๆจะนัดทานข้าวเวลา 8.20 ถ้าวันไหนตื่นสายก็จะบอกให้เพื่อนๆไปก่อนเลย จากนั้นก็แยกย้ายกันไปเรียนตามห้อง

รอบเช้าจะเริ่มเรียนเวลา 9.00 – 9.50 แต่บางครั้งก็จะเรียนต่อจนถึงเวลา 11.50 (ถ้าเรียนห้องเดิมนะ) แต่จะมีเวลาพักให้ 10 นาที อาจารย์ห้องเราเข้าสอนตรงเวลาแต่ปล่อยเลทมาก บางทีเรียนจนถึง 12.30 หิวข้าวมากๆ และทำให้มีเวลากินข้าวกลางวันน้อย ข้าวกลางวันเริ่มกินตอน 11.50 – 13.20 ก็จะนั่งกินข้าวกับเพื่อนๆ และพูดคุยกันไปเรื่อยๆ จากนั้นรอบบ่ายจะเริ่มเรียนเวลา 13.20 – 15.20 แต่บางวันก็จะมีเรียนต่อ 15.20 – 16.10 แล้วก็เลิกเรียน จากนี้ก็จะเป็นเวลาฟรีเทมของเราแล้ว จะไปไหนก็ได้ ส่วนใหญ่ก็จะไปเดินเที่ยวแถวๆที่พัก แถวนั้นจะมีห้างสรรพสินค้า 2 ที่ คือ ริงคุเทาว์ กับ เอออน บางครั้งก็ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆที่นั้น เพราะเริ่มเบื่ออาหารที่โรงอาหารแล้ว และบางวันที่มีการบ้านเยอะ ก็นั่งทำการบ้านอยู่ในห้อง ไม่ได้ออกไปไหน เพราะว่าไม่ค่อยเก่งภาษาญี่ปุ่น ทำให้ต้องมีความพยายามกว่าคนอื่นๆ เวลาที่เพื่อนๆไปเที่ยว บางครั้งก็อยากจะออกไปด้วย แต่การบ้านยังไม่เสร็จทำให้ต้องตัดใจ และถ้ามีการบ้านที่ไม่ค่อยเข้าใจก็จะโทรไปหาเพื่อน และขอไปนั่งทำด้วยคน หรือไม่ก็เป็นส่วนร่วมที่ต้องทำกันเป็นกลุ่ม ส่วนใหญ่จะไปนั่งทำที่ห้อง Study Room หรือ Lounge และจะนำขนมเล็กๆ น้อยๆ ไปกินกับเพื่อน แต่ถ้าวันไหนที่มีหิมะตก (วันพิเศษ) ก็จะนัดกันไปเล่นหิมะ ปั้นหิมะ และปาหิมะกันอย่างสนุกสนานมากๆ เล่นกันจนมือชาไปหมดเลย จากนั้นก็ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อน และแยกย้ายกันเข้านอน ฝันดี




ส่วนวันเสาร์ วันอาทิตย์นั้น เป็นวันหยุดพักผ่อน ก็จะนอนตื่นสายกัน ข้าวเช้าบางวันก็จะไม่ไปกิน จะไปข้าวกลางวันทีเดียวเลย แต่ถ้าสัปดาห์นั้นมีการบ้านเยอะก็จะอยู่ในห้องนั่งทำการบ้าน และเตรียมบทเรียนล่วงหน้านิดหน่อย ถ้าทำการบ้านเสร็จเร็วก็จะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แต่จะกลับมากินข้าวเย็นที่ที่พัก แต่บางครั้งวันเสาร์ วันอาทิตย์ ทาง JF จะจัดกิจกรรมให้ เช่น ไปดูซูโม่ และศิลปะการขับร้องของญี่ปุ่น หรือไม่ก็ไปทัศนศึกษาที่โตเกียว เกียวโต และนาระ เป็นต้น
ส่วนบางวันที่มีกิจกรรมพิเศษ อย่างเช่น ไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น เป็นต้น ตอนที่ไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นนั้นจะต้องนอนกับโฮมส์แฟมีลี่ เป็นการศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดมาก ตอนอยู่กับโฮมส์แฟมีลี่นั้น ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เลย ประมาณ 5.30 ถ้าเราไม่ตื่นก็จะมีคนเข้ามาปลุกเรา ให้อาบน้ำแต่งตัวก่อนกินข้าวเช้า คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่อาบน้ำตอนเช้ากัน แต่เราอาบน้ำตอนเช้า เป็นอะไรที่หนาวมากๆเลย จากนั้นต้องกินข้าวเช้าตอน 6.00 ถ้าเป็นเวลาเมืองไทยก็ประมาณตี 4 เช้ามากๆ จากนั้นออกจากบ้านเวลา 7.30 และนั่งรถเมล์ต่อด้วยรถไฟ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เดินทางถึงมหาวิทยาลัย จากนั้นเข้าเรียนเวลา 9.00 
วันที่ 1 นั้นอาจารย์ก็จะแนะนำเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น และเราก็จะพรีเซนต์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศรีปทุมบ้าง จากนั้นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นจะพาเราชมรอบๆมหาวิทยาลัยพร้อมกับเพื่อนญี่ปุ่น ห้องพยาบาลอาจารย์ก็จะพาเราไปเรียนรู้วิธีการทำยา หรือการผสมยา แบบที่นักศึกษาเรียนหมอทำกัน และก็พาไปดูห้องสตูดิโอ ห้องดูดาว เป็นต้น

วันที่ 2 เราจะเรียนภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับคำว่า ไม่เป็นไรจากนั้นเราพรีเซนต์เกี่ยวกับประเทศไทยให้คนญี่ปุ่นได้รู้จัก จากนั้นไปดูชมรมยิงธนู และฝึกการเขียนพู่กัน เป็นต้น
ส่วนข้าวกลางวันนั้น ก็จะกินข้าวพร้อมกับเพื่อนชาวญี่ปุ่น ข้าวของมหาวิทยาลัยที่นี้ราคาถูกมากๆ และตอนเย็นนั้นก็จะกินข้าวพร้อมกับโฮมส์แฟมีลี่ และพูดคุยกันอย่างสนุกมากๆ แต่จะอาบน้ำก่อนกินข้าวเย็นนะ และได้มีโอกาสแช่น้ำในโอฟูโระด้วย จำได้แม่นเลยว่า น้ำนั้นร้อนมากๆ ประมาณ 43 องศา จากนั้นก็ไปดูละครญี่ปุ่น และเข้านอนฝันดี


2554-05-23

ความเป็นมาของโครงการนี้

            จากการที่ได้เข้าร่วมโครงการ Japanese – Language Program for Partner University Students 2010 ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมานั้น เป็นโครงการที่รับดูแลนักศึกษาจากต่างประเทศที่กำลังศึกษาภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาเอกและสำหรับนักศึกษาที่มีความสนใจในภาษาญี่ปุ่นด้วย มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนโอกาสให้มีความเข้าอกเข้าใจ และมีประสบการณ์ทางสังคม ศึกษาวัฒนธรรมของญี่ปุ่น รวมทั้งลองใช้ภาษาญี่ปุ่นในการศึกษา เล่าเรียนด้วย โดยการเชิญนักศึกษาที่กำลังศึกษาภาษาญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศมาที่ประเทศญี่ปุ่น


มีการจัดโปรแกรมต่างๆนานา เช่น การฝึกอบรมที่โตเกียว เกียวโต และนาระ และยังมีการศึกษาวัฒนธรรมของสังคมญี่ปุ่น โฮมต์วิสิท์ เป็นต้น  นอกเหนือจากชั่วโมงเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้ว ยังมีการไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับนักศึกษาญี่ปุ่น สุดท้ายให้มีความเข้าอกเข้าใจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นมากขึ้น